5 เหตุผลที่ต้องไปเที่ยวชมมัสยิดอายาโซเฟีย ให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต
อัสลามมุอาลัยกุม หลังจากที่แอดฯ ได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศตุรกี (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ทรูเคีย) ทริปนี้จึงจะขอนำเสนอเรื่องราวการท่องเที่ยวในประเทศที่มีดินแดน 2 ทวีป ริมช่องแคบบอสฟอรัส ที่มากไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ มาบอกเล่ากันค่ะ ก่อนจะไปเรามาดูก่อนว่า 5 เหตุผลที่ต้องไปเที่ยวชมมัสยิดอายาโซเฟีย มีอะไรบ้างถึงทำให้สถานที่นี้น่าสนใจ เรามาเริ่มต้นกันที่อิสตันบลูกันก่อนนะคะ เพราะที่นี่นอกจากจะเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศแล้ว ที่นี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ หลายแห่งค่ะ
5 เหตุผลที่ต้องไปเที่ยวชมมัสยิดอายาโซเฟีย
1.เป็นหนึ่งในมัสยิดที่ทรงคุณค่าของศาสนาอิสลามที่หากมีโอกาสก็ควรไปละหมาด ขอดุอาฮฺ
2.เป็นสถานที่แห่งเดียวในโลกที่เป็นทั้งโบสถ์ของชาวคริสต์และมัสยิดของชาวมุสลิม ใช้ประกอบศาสนกิจเป็นเวลาร่วมกว่าพันปี
3.เป็น1 ใน 7 สิ่ง มหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง เป็นโบสถ์และมัสยิดทรงโดมที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาเป็นเวลาเกือบพันปี
4.เป็นสิ่งก่อสร้างและศาสนสถานสำคัญที่สุดอาณาจักรโรมันตะวันออก และออตโตมัน แม้จะเปลี่ยนสถานะมาหลายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่โบสถ์คริสต์ มัสยิดในอิสลามหรือพิพิธภัณฑ์
5.มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปะวัฒนธรรมอิสลามที่ควรค่าแก่การไปชมความยิ่งใหญ่อลังการสักครั้งในชีวิต ควรเข้าไปละหมาด
เริ่มทัวร์เที่ยวชมมัสยิดอายาโซเฟีย
การได้เดินทางไปยังนครอิสตันบลู ประเทศตุรกีเป็นความใฝ่ฝันของหลายคน เพราะที่นี่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่อารยธรรมอานาโตเลีย จักรวรรดิโรมัน จักรวรรดิไบแซนไทน์ จนมาถึงจักรวรรดิออตโตมันที่ยึดมั่นและเคร่งครัดในอิสลาม ทำให้ที่นี่เป็นศูนย์รวมและผสมผสานของอารยธรรมต่างๆ และมีร่องรอยของประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้าและหาคำตอบ
นอกเหนือจากอารยธรรมที่ตกทอดมาจนถึงปัจจุบันแล้ว ตุรกี ยังเป็นประเทศที่มีลักษณะภูมิประเทศที่สวยงาม มีดินแดนที่ตั้งอยู่ในทวีปปยุโรปและเอเชียจึงทำให้ดินแดนแห่งนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญและเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ในโอกาสที่ MAKAN HALAL GUIDE ได้เดินทางไปตุรกี จึงขอนำเรื่องราวและสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญนำเสนอให้รับทราบกันค่ะ
เรามาเริ่มกันที่ มัสยิดอายา โซเฟีย ซึ่งตั้งอยู่ในย่านจัตุรัสสุลต่านอาห์เหม็ด และถือว่าเป็นไฮไลต์สำคัญของอิสตันบูล ค่ะ
มัสยิดอายา โซเฟีย เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้ความสนใจ และต้องมาชม หากได้มาที่อิสตัลบลู ถ้าดูจากภายนอก มัสยิดแห่งนี้มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร มีความยิ่งใหญ่อลังการเป็นอย่างมาก สมกับที่ยืนหยัดมานานนับพันปีและตั้งเด่นเป็นสัญลักษณ์ของเมือง แม้จะผ่านเหตุการณ์แผ่นดินไหวมาหลายครั้ง
และเพียงก้าวแรกที่ได้เดินเข้าไปชมภายใน ก็เกิดคำถามและความสงสัยขึ้นมาทันทีอีกว่า ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีการก่อสร้างยังไม่เทียบเท่าปัจจุปัน คนในยุคนั้น สามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้อย่างไร ความมหัศจรรย์ตระการตานี้เอง จึงน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ที่นี่ ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน7สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง (คริสศตวรรษที่5-16)
ความเป็นมาของมัสยิด
ในนปีคศ.532 จักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 แห่งจักรวรรดิโรมันตะวันออก (ไบเซนไทน์) ได้ทรงสร้างมหาวิหาร อายา โซเฟีย (มาจากภาษากรีก มีความหมายว่า สติปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์) เป็นวิหารหลวงสำหรับประกอบพระราชพิธี และชาวคริสต์นิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ ขึ้นที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ซึ่งนับเป็นสถาปัตยกรรมชั้นเลิศของไบเซนไทน์ เพราะมีการสร้างโดมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว่า 31 ตารางเมตรและสูงถึง 55 เมตร
ที่นี่ถือเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในยุคนั้น และถือว่าเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาเป็นเวลาเกือบพันปี แม้ว่าภายนอกจะมีสถาปัตยกรรมที่เรียบง่าย เน้นความยิ่งใหญ่ แต่ภายในกลับตกแต่งด้วยหินอ่อน หินแกรนิตและกระเบื้องโมเสดสีทองเคลือบแก้ว กระจกสี อย่างวิจิตรบรรจง
มหาวิหารแห่งนี้ตั้งตระหง่านคู่กับจักรวรรดิเรื่อยมาจนถึง รัชสมัยจักรพรรดิคอนสแตนติน บาลิโอลูกัส ที่ 11 (คศ.1449 -1453) จักรพรรดิองค์สุดท้ายของจักรวรรดิไบเซนไทน์ ซึ่งหมายความว่า มหาวิหาร อายา โซเฟีย คงสถานะเป็นมหาวิหารสำคัญสำหรับคริสต์ศาสนา นิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ เป็นระยะเวลาถึง 921 ปีด้วยกัน
จนกระทั่งปีคศ. 1453 (ฮ.ศ.857) สุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติฮฺที่ 2ที่มีพระชนมายุเพียง 25 พรรษา (ค.ศ. 1429 - 1481 / ฮ.ศ. 833 - 886) ได้ทรงนำทัพเข้าล้อมกรุงคอนสแตนติโนเปิล เป็นเวลา 50 วัน ในที่สุดก็สามารถพิชิตได้ เมื่อทรงนำกองทัพเข้าสู่ตัวเมืองแล้ว พระองค์ได้เสด็จมายังมหาวิหาร อายา โซฟีย และใช้ให้มุอัซซิน ทำการอะซานในมหาวิหารแห่งนี้ เพื่อประกาศว่า มหาวิหารแห่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นมัสยิดสำหรับชาวมุสลิมแล้ว ซึ่งตรงนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญเลยนะคะ
เมื่อเปลี่ยนมาเป็นมัสยิด รูปภาพที่ประดับประดาด้วยกระเบื้องโมเสดเคลือบลายน้ำทองภายในมหาวิหาร ซึ่งเป็นศิลปะแบบไบเซนไทน์อันเป็นภาพตามคติความเชื่อในศาสนาคริสต์จึงถูกปูนโบกทับ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการศาสนาอิสลาม ที่ไม่ให้มีรูปภาพหรือความเชื่ออื่นๆ
นอกจากนี้ ยังสร้างมิฮฺรอบ สำหรับอิหม่ามผู้นำนมัสการขณะประกอบศาสนกิจ และมีการตั้งมิมบัร สำหรับการแสดงคุตบะฮ์วันศุกร์และวันสำคัญทางศาสนา
ต่อมาในสมัยสุลต่านมุรอด ข่าน ที่ 4 ก็มีการเขียนตัวอักษรภาษาอาหรับพระนามของพระองค์อัลลอฮฺ นามท่านศาสดามูฮัมหมัด(ศ.ล.) และชื่อของบรรดาคอลีฟะห์ผู้สืบทอดต่อจากท่านศาสดา 4 ท่านขนาดใหญ่อย่างงดงามลงบนแผ่นไม้ทรงกลม แขวนอยู่บนผนังของมัสยิด โดยลวดลายการเขียนตัวอักษรภาษาอาหรับอันวิจิตรบรรจง เป็นฝีมือของท่านบิชกะญีย์ ซาดะห์ มุสตอฟา เชลบีย์ นักเขียนตัวอักษร (คอตตอต) ผู้มีชื่อเสียงในยุคนั้น
ในรัชสมัยของสุลต่านพระองค์ต่อๆ มาก็ได้มีการให้บูรณะอาคารมัสยิด และเพิ่มขนาดของหออาซานทั้ง 4 เสา มีการประดับยอดโดมด้วยจันทร์เสี้ยวหุ้มด้วยทองคำบริสุทธิ์ขนาด 50 คืบ และนำไปติดตั้งแทนที่ไม้กางเขนเหนือยอดโดม
มัสยิด อายา โซเฟีย นับเป็นอาคาร ศิลปะผสมผสานแบบไบเซนไทน์และอิสลาม และยังคงเป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจสำคัญที่สุดของจักรวรรดิออตโตมานตลอดช่วงอายุขัยของจักรวรรดิ เมื่อจักรวรรดิออตโตมานล่มสลาย มุสตอฟา ก่ามาล อาตาเติร์ก ขึ้นสู่อำนาจก็ได้ประกาศให้มิสยิดแห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ของนครอิสตันบูล แต่ต่อมารัฐบาลตุรกีก็เปลี่ยนสถานะกลับมาเป็นมัสยิดเช่นเดิม
ความยิ่งใหญ่ของมัสยิด อายา โซเฟีย ทำให้ในแต่ละปีนั้นทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้าชมมากกว่า 3.4 ล้านคน กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของตุรกี
ผู้อ่านทุกท่านคะ หลังจากที่แอดฯ ได้ชมมัสยิด ละหมาดและดุอาอฺ ในมัสยิดแห่งนี้แล้ว อยากจะขอบอกเลยว่า ได้มีริสกีและบารอกัตเป็นอย่างยิ่งคะ และหากมุสลิมท่านใดที่ได้มาท่องเที่ยวที่นี่ ก็ไม่ควรพลาดที่จะมาเยี่ยมชมและปฏิบัติอิบาดะห์นะคะ